การสร้างเครื่องมือวิจัยที่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพ
- Chupasireen A Fredregill, Ph.D.Public Health

- May 22
- 2 min read
Updated: May 25
บทนำ
การสร้างเครื่องมือวิจัยที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐานเป็นกุญแจสำคัญในการนำไปสู่การตอบคำถามการวิจัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของการวิจัยที่ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการศึกษา มีความน่าเชื่อถือ และสามารถนำไปอ้างอิงและใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
เครื่องมือวิจัยที่มีคุณภาพ จะช่วยลดความผิดพลาดในการเก็บรวบรวมข้อมูล และช่วยให้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติมีความถูกต้อง และน่าเชื่อถือ
ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือวิจัยที่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพ
1. ทบทวนวัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมาย รูปแบบการวิจัย กรอบแนวคิดและตัวแปรในการวิจัย และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
วัตถุประสงค์ของการสร้างเครื่องมือวิจัย เพื่อนำไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล แล้วนำมาวิเคราะห์ ข้อมูลด้วยสถิติ ซึ่งผู้วิจัยจะต้องทราบว่าสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลมีระดับการวัดแบบใด แล้วจึงลงมือสร้างเครื่องมือวิจัยให้ครอบคลุมทุกตัวแปร (สามารถตรวจสอบความครบถ้วนของตัวแปรได้จากกรอบแนวคิดในการวิจัย) ดังนั้นผู้วิจัยจะต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย ตัวแปร และกลุ่มเป้าหมายในการวิจัย เช่น
1.1 การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ต้องการศึกษา หรือวัดอะไร ใช้สถิติอะไรในการวิเคราะห์ข้อมูล
1.2 ตัวแปรในการวิจัยเรื่องนี้ ประกอบด้วยตัวแปรอะไรบ้าง เพื่อนำไปสร้างคำถามที่ครอบคลุมตัวแปรที่ศึกษาทุกตัว และตัวแปรเหล่านี้มีระดับการวัด (Level of Measurement)อย่างไร เพื่อที่จะสร้างคำถามที่สอดคล้องกับระดับการวัด สามารถนำไปวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติได้อย่างถูกต้อง และนำไปสู่การได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
1.3 กลุ่มเป้าหมายของการวิจัยเรื่องนี้คือใคร เช่น การวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการป้องการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกร กลุ่มเป้าหมายในการตอบคำถามคือเกษตรกร ดังนั้นผู้วิจัยควรออกแบบคำถามให้เหมาะสมกับบริบทและความเข้าใจของเกษตรกร เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงตรงตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัด และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ถูกต้องเหมาะสม
2. การออกแบบเครื่องมือวิจัยให้ได้มาตรฐาน
เหมาะสมกับบริบท/คุณลักษณะของผู้ตอบ : คำถามสำหรับผู้สูงอายุ คำถามสำหรับนักเรียนแต่ละระดับ ย่อมจะมีความแตกต่างของความยากง่ายของคำถาม ซึ่งผู้วิจัยจะต้องพิจารณาสร้างคำถามให้แต่ละกลุ่มมีความเข้าใจในเนื้อหาคำถามและการตอบ
ความชัดเจนของคำถาม: คำถามควรเป็นภาษาเข้าใจง่าย เป็นคำถามเฉพาะในประเด็นเดียว ไม่ซับซ้อน ควรหลีกเลี่ยงคำถามนำ คำถามซับซ้อน (เช่น คำถามที่มี "และ/หรือ") หรือคำถามที่อาจสร้างความสับสน
ประเภทของคำถาม: เลือกใช้คำถามแบบเปิด (Open-ended) หรือปิด (Closed-ended) ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ เช่น แบบสอบถามแบบเลือกตอบ (Multiple choice) ระดับความคิดเห็น (Likert scale) หรือความถี่ของการปฏิบัติ (Frequency of Practice)
ข้อคำถามเชิงบวกและข้อคำถามเชิงลบ: คำถามที่เกี่ยวกับความคิดเห็น การรับรู้ ทัศนคติ ควรจะออกแบบคำถามให้ประกอบด้วยข้อคำถามที่ผู้ตอบๆในทางที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพื่อให้ผู้ตอบได้ใช้เวลาในการพิจารณาการตอบคำถามแต่ละข้ออย่างเพียงพอ
ความครอบคลุม: ออกแบบคำถามให้ครอบคลุมทุกด้านของหัวข้อที่ต้องการศึกษาและเพียงพอ
3. การสร้างเครื่องมือวิจัยที่มีความน่าเชื่อถือและความถูกต้อง (Reliability & Validity)
เมื่อสร้างเครื่องมือวิจัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัยจะต้องนำไปตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวิจัย ดังนี้
ความตรง (Validity): เครื่องมือควรสามารถวัดสิ่งที่ตั้งใจวัด (ตรงตามวัตถุประสงค์)ได้อย่างแท้จริง เช่น ผู้เชี่ยวชาญการวิจัยเฉพาะด้าน จำนวน (3-5) ท่าน พิจารณาความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) แล้วนำมาวิเคราะห์ค่าดรรชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์และข้อคำถาม (Index of Item Objective Congruence) ปรับปรุงข้อคำถามตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ และคัดเลือกข้อคำถามที่มี IOC ระหว่าง 0.50-1.00 เพื่อนำไปทดลองใช้เครื่องมือ (Try Out) เป็นขั้นตอนต่อไป (Rovinelli and Hambleton, 1977)
ความเที่ยง หรือความน่าเชื่อถือ (Reliability): หมายถึงความเสถียร หรือความคงเส้นคงวาของเครื่องมือ เช่น หากทำซ้ำในกลุ่มเดียวกัน คำตอบควรเป็นไปในแนวทางเดียวกัน เทคนิคที่ใช้วัดความน่าเชื่อถือ เช่น การคำนวณ Cronbach’s alpha (ปัจจุบันใช้คำสั่งโปรแกรมสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์ในการวิเคราะห์ข้อมูล) ตรวจสอบความเที่ยงของเครื่องมือโดยนำไปทดลองใช้ในกลุ่มประชากรที่ในกลุ่มประชากรที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ที่มีคุณลักษณะทางสังคม ประชากร และเศรษฐกิจ ฯลฯ ที่คล้ายคลึงกัน จำนวน (อย่างน้อย 30 คน) แล้วนำมาวิเคราะห์สัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่น (Reliability Coeffeicient) ด้วยวิธีของ Cronbach (1984) แบบสอบถามที่มีค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่น ตั้งแต่ 0.75 ขึ้นไป จึงจะสามารถนำไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป (Portney, 2000)
อำนาจจำแนก(Discriminative Power) ใช้ในการวัดที่มีลักษณะเป็นแบบทดสอบ เช่นแบบทดสอบความรู้
อำนาจจำแนกต่ำอาจหมายถึงเครื่องมือไม่สามารถแยกแยะกลุ่มต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจาก:
- ค่า P-value มากกว่า 0.05
- ขนาดของผล (Effect Size): เช่น Cohen's d (สำหรับ t-test <0.2) หรือ Eta-squared: η²(สำหรับ ANOVA < 0.01)
ความยากง่ายของคำถาม (Difficulty Level) ใช้ในการวัดที่มีลักษณะเป็นแบบทดสอบ เช่นแบบทดสอบความรู้
เป็นการประเมินระดับยากหรือง่ายของข้อคำถาม และความซับซ้อนของเนื้อหา ที่ผู้สอบหรือผู้เรียนต้องตอบ โดยประเมินจากอัตราการตอบถูกต้องของผู้เรียน
พิจารณาจาก:
- อัตราการตอบถูก (Correct Response Rate): ถ้ามีผู้ตอบถูกมากกว่าร้อยละ 70 จะถือว่าคำถามนั้นง่าย ส่วนคำถามที่มีอัตราการตอบถูกน้อยกว่า 30% จะถือว่ามีความยาก
- ความซับซ้อนของเนื้อหา: คำถามที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดหรือทักษะที่ต้องใช้การวิเคราะห์หรือการประยุกต์จะมีความยากสูงกว่าคำถามที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ตรงไปตรงมา
- จำนวนตัวเลือก: คำถามแบบเลือกตอบที่มีหลายตัวเลือกอาจมีความยากง่ายแตกต่างกันตามจำนวนตัวเลือกและความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลือก
4. การปรับปรุงเครื่องมือวิจัยก่อนนำไปใช้จริง
ผู้วิจัยนำเครื่องมือวิจัยที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ ตามข้อ 3 มาทำการปรับปรุงข้อคำถาม ในกรณีเครื่องมือที่วิเคราะห์การทดสอบความเชื่อมั่นของเครื่องมือ (Reliability) อาจจะต้องมีการตัดข้อคำถามที่จะช่วยให้มีค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่น (Reliability Coeffeicient)เพิ่มขึ้น ซึ่งผู้วิจัยจะต้องพิจารณาการตัดข้อคำถามโดยไม่มีผลกระทบต่อความครอบคลุมหลักในประเด็นต่างๆของแต่ละตัวแปร
5. การประกันคุณภาพของเครื่องมือวิจัย
การฝึกอบรมผู้เก็บข้อมูล: ควรให้ความรู้และฝึกฝนผู้ดำเนินการเก็บข้อมูลเพื่อให้เกิดความสม่ำเสมอ และลดข้อผิดพลาดในการเก็บรวบรวมข้อมูล
การควบคุมคุณภาพ: ควรมีการตรวจสอบความถูกต้องและความสมบูรณ์ของข้อมูลที่เก็บได้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งในระหว่างและหลังการเก็บข้อมูล
การบำรุงรักษาเครื่องมือ: หากใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น แบบสอบถามออนไลน์ ควรอัปเดตและดูแลระบบให้ใช้งานได้ดีเสมอ
สรุป
การสร้างเครื่องมือวิจัยที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญในทุกขั้นตอน เนื่องจากจะนำไปสู่การได้มาซึ่งการตอบคำถามการวิจัยที่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการวัดและการวิจัยและเป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพ ดังนั้นการวางแผน การออกแบบ การทดสอบและปรับปรุง รวมถึงการควบคุมคุณภาพอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผลลัพธ์ของการวิจัยมีความน่าเชื่อถือ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
ท่านสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน E-Book เรื่องคัมภีร์นักวิจัย ในยุคดิจิทัล (The Researcher's Handbook in the Digital Age) โดย ดร.ชุภาศิริ อภินันท์เดชา (Chupasireen A Fredregill, Ph.D. Public Health)
อ้างอิง
Cronbach, L. J. (1984). Essential of Psycological Testing. Harper & Row.
Portney L. G. & Watkins M. P. (2000). FOUNDATIONS OF CLINICAL RESEARCH: APPLICATION PRACTICES. Prentice Hall Health, Inc.
Rovinelli, R. J. & Hambleton, R. K. (1977). On the use of content specialists in the assessment of criterion-referenced test item validity. Dutch Journal of Educational Research, 2, 49-60.



Comments